ตถตา

ตถตา

บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิถีปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ๓๗ ประการ


ขอนอบน้อมแด่พระอวโลกิเตศวร
ท่านเห็นสรรพสิ่งไม่มาและไม่ไป
กระนั้นท่านยังขวนขวาย
เพื่อประโยชน์ของสรรพสัตว์อย่างแน่วแน่
ข้าแด่ครูผู้ยิ่งใหญ่และเทพผู้พิทักษ์เชนเรสิก
ข้าขอคารวะแด่ท่านด้วยกายวาจา ใจ

ข้าแต่พระสัมมาสัมพุทธะทั้งปวง
ผู้เป็นแหล่งกำเนิดของประโยชน์และความสุข
อันเกิดจากการปฏิบัติธรรมอย่างจริงแท้
ซึ่งต้องอาศัยความรู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร
ณ บัดนี้ ข้าจะอธิบายวิถีปฏิบัติต่าง ๆ ของพระโพธิสัตว์

เช้าวันนี้ที่สวนโมกข์กรุงเทพ

เช้าวันนี้ที่สวนโมกข์กรุงเทพ : พึ่งตนพึ่งธรรม โดย นพ.บัญชา พงษ์พานิช
๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

น้ำขึ้นพ้นพื้นไม้ภัตตศาลา เรือสามารถเข้าเทียบถึงบันไดได้แล้ว ที่ลานหินโค้ง น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาตามรูระบายสัก ๑๐% ของพื้นลาน สะท้อนเห็นเงา ศปภ.ที่ Enco ในน้ำมิดเลย ส่วนเกาะมะพร้าวนาฬิเกร์แม้จะมิดน้ำนานแล้ว แต่ยอดมะพร้าวทั้ง ๒ ที่เราเคยหมายให้เป็นนิมิตแห่งนิพพานธรรมยังชูใบสะพรั่งและโบกสะบัด

น้ำท่วมเท่าไหร่ให้ท่วมไป อย่าให้ท่วมจิjavascript:void(0)ตและใจของเรานะครับ หรือจะถือเป็นโอกาสสร้างเกาะเพาะหน่อนิพพานกันในขณะนี้เสียได้ยิ่งดี มีวัตถุธรรมสำหรับการเรียนรู้และเจริญสติปัญญามากมายเหลือเกิน

ท่านอาจารย์พุทธทาส กล่าวไว้ว่า คนที่เกิดในยุคอย่างนี้แหละที่เรียกว่า โลกวิปริต เราจะได้เรียนรู้ทุกข์ เพื่อให้เห็นทุกข์ จะได้ลาออกจากทุกข์กัน ท่านได้บรรยายธรรมในวันล้ออายุ เมื่อปี ๒๕๑๙ เกี่ยวกับโลกวิปริตไว้ ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะบ้านเมืองที่เกิดภัยภิบัติในยุคนี้ว่า สิ่งที่มาปรากฏแก่เรามันเข้าใจยาก และมันสร้างปัญหาอย่างที่สุด แต่เราไม่ทันมัน เพราะมันมีเสน่ห์อย่างที่สุด มันเคลือบน้ำตาลไว้มากที่สุด มันเลยเข้าใจยาก

เป็นอย่างไร ...

ท่านบอกว่า ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุที่ส่งเสริมกิเลส ทำให้ขาดความสมดุล ทำให้ไม่สงบ ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งสร้างวิกฤติการณ์มากเท่านั้น แต่ความเจริญในแบบพระพุทธเจ้า คือ เจริญอยู่ในหัวใจ ไม่มีกิเลส บ้านเมืองสงบสุข แต่ทำไมคนไม่ค่อยสนใจกัน

"คนที่เกิดมาเมื่อห้าหกสิบปีก่อนคงจะเห็นว่า สมัยก่อนไม่มีวิกฤติระส่ำระสายเหมือนเดี๋ยวนี้ ถอยหลังไปอีก ห้าหกร้อยปีก็ยิ่งไม่มีมากเท่านี้ เพราะเขาไม่มีความก้าวหน้านี่เอง ความก้าวหน้าของวัตถุที่เป็นเหยื่อของกิเลสตัณหา มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างวิกฤติการณ์มากเท่านั้น"

เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติธรรมให้ต่อเนื่อง ท่ามกลางโลกวิปริต หลังจากวานนี้ เราจึงลงทุนแบกเครื่องเรือหางยาวขึ้นนกแอร์เอามาส่งที่หอฯ หลัง ศปภ.ของประเทศไทย และพบว่า ยังอีกหลายวันที่จะต้องเป็นแบบน้ำท่วมทุ่งประมาณกินเกาเหลาไร้เนื้อ หรือไม่ก็ขลุกขลิก เราจึงไม่ประมาท ที่จะเสริมทัพเรือไว้ด้วย แต่ยังมีทางเลือกที่ทุกท่านสามารถเดินทางมาหอฯ แบบแห้งได้สบายมาก โดยมาทางถนนพระราม ๖ หรือทางด่วนอะไรก็ได้ให้ถึงถนนกำแพงเพชรเลียบหน้าสถานีหมอชิต แล้วเลยไปยูเทิร์นทางเข้ากระทรวงพลังงาน ชิดซ้ายเลี้ยวเข้าที่ถนนใต้ทางด่วน มีป้าย “หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ” อย่างชัดเจนแม้ไม่ใหญ่ (ขวามือตรงปากซอยมีร้านไก่ย่างโคราช) แล้วตรงดิ่งผ่านย่านนิคมรถไฟจนถึงรั้ว ปตท.และกระทรวงพลังงาน หรือ เอ็นโก้ ที่รัฐบาลมาตั้ง ศปภ.อยู่ มีรั้วกั้นถนนข้างหน้าเพราะน้ำท่วม

หรือจะเดินเลี้ยวขวาเข้าไปในย่านเรือนพักของชาวรถไฟก็ได้ไม่กี่สิบเมตร ตรงหน้าของท่านจะมีช่องประตูเล็กๆ อยู่ในซอก เพิ่งเจาะทะลุกำแพงออกไปลงถนนทางเข้าสวนรถไฟพอดีศาลพระภูมิและป้อมมุมสนามไดรฟ์กอล์ฟที่น้ำท่วมท้นหมดแล้ว หรือจะเลี้ยวซ้ายไปตามถนนจนสุดทางที่สามแยกหลังตึก ปตท.ตรงกับประตูทางเดินเข้าสวนโมกข์พอดี

ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทาง ระหว่างการเดินทางมาที่สวนโมกข์กรุงเทพ หรือแม้แต่อยู่ในน้ำที่ท่วมขัง หากเราทำใจไม่ให้ถูกน้ำท่วม เราก็ได้ชื่อว่า กำลังเจริญสติ เพื่อลาออกจากโลกวิปริตไปด้วยกัน


ฉวยโอกาสทำความดีกันเถอะ


"เราอาสามาเก็บขยะกันกลางทะเลขี้ผึ้งครับ "

ไพโรจน์ สิงบัน อาสาสมัคร เพื่อการผลิตสื่อธรรม สวนโมกข์กรุงเทพ รายงานสดจากเรือบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ที่ออกมาเก็บขยะที่ลอยละล่องในน้ำสีดำกับกลุ่มอาสาสมัคร "ฉวยโอกาสทำความดี" เมื่อวันที่น้ำเอ่อขึ้นมาเกือบจะมิดป้ายสวนพุทธธรรมอยู่แล้ว

ไพโรจน์เล่าว่า ตั้งแต่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว นอกจากที่ที่ระบายน้ำลงมาแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของขยะที่ไหลมา ด้วยอัตราการขึ้นของน้ำประมาณ ๑๐ เซนติเมตรต่อชั่วโมง

"ขณะที่กำลังพายเรือไปเก็บขยะอยู่ ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลา เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเราได้ตั้งสติกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ธรรมชาติหลายเรื่องมันมาเตือนเราแล้ว ถ้าเรามีสติ เราก็สามารถตั้งรับกับเหตุการณ์ได้ ที่หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ มีการเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์มากว่า ๒ อาทิตย์ เราเข้าใจว่า นี่คือภัยธรรมชาติ ? เราคาดการณ์ได้จากน้ำหลากที่มาจากภาคเหนือ และส่วนหนึ่งที่รัฐบาลกำลังจัดการอยู่ เราก็เห็นข้อมูลบางอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องรู้ว่า กรณีที่น้ำลงมาจากทางเหนือในครั้งนี้มีนักวิชาการหลายท่าน ที่มีข้อมูลออกมาเยอะแยะ ส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งอันนี้สำคัญมาก ทำให้เราจัดการอะไรได้ เพราะเราต้องรู้ความจริง รู้ข้อมูลที่จริงและพิสูจน์ได้

"ในกรณีของน้ำที่หลากมา ทำไมมีปริมาณมาก ก็เพราะมีการปล่อยน้ำจากเขื่อน ก็จะคำนวณได้ และเห็นเส้นทางของน้ำ ว่ามันจะไปที่ไหนบ้าง ซึ่งเป็นข้อมูลจาก ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมชลประทาน ได้บอกข้อมูลที่ชัดเจนไว้ว่า น้ำทั้งหมดที่จะทะลักเข้ากรุงเทพชั้นใน ๙๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรนั้น ไหลมาถึงห้าแยกลาดพร้าวเพียง ๑๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ยังมีมวลน้ำในปริมาณมหาศาลที่จะท่วมถึงกรุงเทพชั้นใน

"เราได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเตรียมความพร้อม เส้นทางน้ำ เมื่อหลากมาถึงกรุงเทพชั้นใน มีระยะอัตราการไหลหลากอย่างไรก็ประมาณได้ สำหรับหอจดหมายเหตุ ฯ อยู่ใกล้บึงรับน้ำ ซึ่งเป็นแก้มลิง เราก็รู้ว่าระดับของน้ำจะไหลมารวมกันที่นี่ แต่ตรงนี้ก็ยังไม่ใช่ที่ต่ำสุดของพื้นที่ ซึ่งทิศทางน้ำจะไปลงแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทิศทางหนึ่งก็จะไปลงที่คลองลาดพร้าว เพื่อไปออกที่คลองบางซื่อ แล้วไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนหนึ่งจะไหลไปลงที่คลองแสนแสบ อันเป็นจุดที่ต่ำกว่า ดังนั้น เราก็ประมาณระดับน้ำได้ ถ้าพื้นที่สวนรถไฟ เป็นที่รับน้ำ ก็จะอยู่ในระดับความสูง ซึ่งเราอยู่สูงกว่าถนนวิภาวดี ประมาณ ๗๐-๘๐ เซนติเมตร เราคิดว่า ถ้าเพิ่มการป้องกันอีกเมตรครึ่งก็น่าจะรักษาระดับความปลอดภัยไว้ได้ ของที่อยู่ต่ำกว่า ๑ เมตร เราจะขนขึ้นสู่ที่สูงหมด "

ในเรื่องของที่เราต้องยังชีพ สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ ไพโรจน์เล่าต่อมาอีกว่า เราเตรียมอาหารมากว่าสองอาทิตย์เช่นกัน เรียกกว่าจัดการได้ เมื่อเรามีความพร้อม เราไม่ค่อยกังวล จึงสามารถไปช่วยคนอื่นได้ ที่นี่เปิดศูนย์รับบริจาคร่วมกับพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เครือข่ายพุทธิกา ท่านว.วชิรเมธี สถาบันวิมุติยาลัย ฯลฯ ก็สามารถกระจายของรับบริจาค กระจายของออกไปได้มากพอสมควรก่อนน้ำท่วม คือไม่มีของเสียหาย ช่วยพื้นที่เบื้องต้นได้กว่า ๕๓ พื้นที่ อันนี้ก็ถือว่า เป็นผลงานของน้องๆ อาสาสมัคร ที่น่าชื่นชม ในสถานการณ์อย่างนี้

"การเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ ในกรณีของทีมงานอาสาสมัคร ก็มีคุยกันเป็นประจำ มีการแนะนำ เตรียมความรู้ว่า แต่ละคนต้องพยายามช่วยเหลือตนเองให้เข้มแข็งก่อน หลักการของการจัดการกับภัยพิบัติคือ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน แก้ปัญหาที่จะให้คนอื่นมาช่วยเราผ่านไปได้ก่อน เราก็สามารถไปช่วยคนอื่นได้ "

นอกจากนี้ เรื่องการให้สติเพื่อตั้งรับภัยพิบัติ อันนี้ ไพโรจน์บอกว่า มันสำคัญมาก เป็นธรรมะ จริง ๆ

"เราทำเรื่องสาระธรรม ปีนี้ ข้อธรรมต่างๆ ที่อาจารย์พุทธทาสพูดไว้ชัดมากว่า เรามีโอกาสดี ที่เกิดมาในโลกที่กำลังวิปริต น้ำท่วมทำให้เราได้คิดว่า ชีวิตไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าที่ไหนจะแข็งแรงเข้มแข็งอย่างไร น้ำก็ทะลุทะลวงไปได้ ฉะนั้น ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องสติ ให้ดี"

สอบถามรายละเอียด กิจกรรม ตักบาตรเดือนเกิด ฟังธรรม การเจริญสติ ฝ่าวิกฤติน้ำท่วม ได้ที่อาสาสมัคร ประชาสัมพันธ์ สวนโมกข์กรุงเทพฯ โทร.๐๘-๖๖๒๔-๓๓๕๕

จากสกู๊ปข่าวของหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"โลกออนไลน์" อิสรภาพในเงือมมือของพระเจ้า

"อยู่ๆ วันนี้ก็คิดอยากเขียนบทความขึ้นมา หลังจากที่ได้ท่องเน็ตอยู่ในโลกออนไลน์เกือบเป็นอาทิตย์ ได้คุยกับคนที่ไม่รู้ว่าจะมีตัวตนจริงหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก เพราะสังคมเมืองทุกวันนี้เราก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ไม่ค่อยได้สนใจกันและกันอยู่แล้ว บางทีคนที่คุยกันทางโลกออนไลน์อาจเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดได้กว่าคนในครอบครัวด้วยซ้ำไป"

เกริ่นเรื่องเหมือนนักสังคมศาสตร์หรือนักเทศนา แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
โลกออนไลน์นั้นต้องมีคำอธิบายใหม่ และยังไม่มีใครสามารถจำกัดความสังคมโลกออนไลน์ที่ไร้ขอบเขตนี้ได้ชัดเจน มันนอกเหนือกฎกติกาเดิม ซึ่งถูกฉีกทิ้งไปแม้แต่พระเจ้าก็ห้ามไม่ได้ แค่กดไลค์เป็นก็สามารถส่งความหมายถึงใครที่เราไม่รู้จักได้

เมื่อใครเข้ามาสู่เวทีนี้ คุณก็เหมือนมีอิสระเท่าๆ ที่คุณจะสร้างอิสระของตนเองได้ แต่อิสระนั้นก็จะหายไปพร้อมกับการกระทำของตัวคุณเองในโลกออนไลน์
อันนี้มันมีทั้งโลกจริงกับโลกเสมือนจริงอยู่ด้วยกัน บางขณะคุณติดต่อกับผู้คนในโลกออนไลน์เหมือนกับการพูดคุยกันอยู่ในสังคมปกติ แต่บางขณะคุณแสดงเป็นตัวละครในเกมส์ที่อยู่ในโลกเสมือนจริงแต่ไม่ใช่ความจริงของคุณ เช่นแซทรูมทั้งหลาย หรือนานาเว็บบอร์ด คุณไม่รู้ตัวเองหรอกว่าจะกระโจนลงไปและเปลี่ยนบทบาทตนเองตอนไหน มันขึ้นกับสถานการณ์ส่วนลึกพาคุณไป จนบางทีก็ห้ามตัวเองไม่ได้ทำให้หลายคนติดโลกออนไลน์กันงอมแงม โดยยังไม่ทันสังเกตตัวเองด้วยซ้ำ

แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องอันตรายจากอินเตอร์เน็ตมันเป็นเรื่องอันตรายจากจิตใจคุณต่างหาก หลายคนโทษเครื่องมือ โทษสังคมโทษสิ่งที่มากับโลกออนไลน์ ทำให้เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ผมเห็นด้วยนะแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าเอากฎของธรรมชาติมาอธิบายที่ว่า “มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย” ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ ทุกเรื่องในโลกอินเตอร์เน็ตได้เชื่อมต่อทางจินตนาการและเหตุปัจจัยเข้าด้วยกันหมด ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองเสมือนหนึ่งโลกที่ซ่อนอยู่หลังหน้าจอ แสดงการโต้ตอบทางอารมณ์ได้เกือบทุกกิจกรรม มันจึงเป็นสิ่งที่มากระตุ้นและตอบสนองผู้เล่นอย่างไม่มีขอบเขต นี่แหละคือพลังของโลกออนไลน์


ดังนั้น โลกออนไลน์ก็เหมือนกับสรรพสิ่งได้เชื่อมต่อเข้าไปในจิตใจของผู้เล่น อันประกอบด้วยความจริงทั้งรูปธรรมและนามธรรมตลอดเวลา ซึ่งเหมือนกับความจริงของชีวิตที่ประกอบไปด้วยทั้งสองอย่างนี้ คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านร่างกายก็เหมือนกายภาพทั่วไปที่จับต้องสัมผัสได้ ต้องกินต้องอยู่ ดำรงสัญาชาตญาณสัตว์โลก ส่วนจิตใจก็เหมือนสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความรัก ความอบอุ่น ความเศร้า เหงา ความดีความงาม สารพัดอย่างที่ต้องการและสื่อสารกันในโลกออนไลน์นี้ แต่คงไม่มีใครเถียงว่ามันมีอีกส่วนหนึ่งคือ ปัญญา หรือ wisdom เกิดขึ้นในการเล่นเน็ตด้วย อันนี้มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของการเรียนรู้อยู่แล้ว เมื่อสิ่งนี้เติบโตขึ้น จะสามารถควบคุมความต้องการทางด้านร่างกาย จิตใจให้ถูกต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน


โลกออนไลน์ได้ตอบโจทย์ของโลกแห่งจิตใจหรือจิตวิญาณที่ลึกซึ้งยากหยั่งถึง ถ้าใครเข้าถึงความจริงของโลกภายในจิตใจนี้ได้ก็จะไม่หวั่นไหวไปกับอะไรทั้งสิ้น มีความสงบ เย็น ไม่เหงา แต่จะอิ่มเอิบตลอดเวลา ในเวลาที่อยู่กับคนหมู่มากก็จะไม่วุ่นวายกังวล เวลาอยู่คนเดียวก็จะไม่หงอยเหงา อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวกับชีวิตจริงมันสะท้อนออกมาชัดเจนในโลกออนไลน์ว่าสิ่งที่เราต้องการมากๆ ไม่ใช่เรื่องกายภาพซึ่งหากินเสพกันได้ง่ายกราดเกลื่อน แต่ที่เราหากันไม่ได้เลยคือโลกความสุขทางด้านจิตใจจนต้องมาสมมติหลอกตัวเองในสังคมที่ไม่มีตัวตนนี้


ปัญหาของโลกออนไลน์ จึงเป็นแค่บางเสี่ยวของโลกแห่งชีวิตจริงเท่านั้น ไม่มีโลกออนไลน์ชีวิตจริงก็ยังต้องมีปัญหาแบบที่เป็นอยู่อย่างนี้เครื่องมือนี่เพียงแค่มาเร่งให้เร็วขึ้น แรงขึ้น และเห็นชัดขึ้นเท่านั้น ลองไปตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองสมมติลงไปในอินเตอร์เน็ตก็จะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเราเอง ยิ่งเราหลอกตัวเองและห่างความเป็นตัวเองมากเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นชัดเท่านั้น

จงอย่ากลัวความเป็นตัวตนของตัวเอง ไม่มีอะไรที่ผิด ไม่มีอะไรที่ถูก มันไม่มีกรอบในโลกออนไลน์ ขอให้ใช้โอกาสนี้เรียนรู้ตัวเอง ให้เข้าใจทุกด้านทั้งด้านมืดและสว่าง สิ่งที่ชอบและไม่ชอบเมื่อเข้าใจความเป็นตัวเรา ก็จะสามารถฝึกมันได้ ควบคุมมันได้ แล้วเราก็จะไม่ตกหลุมดำของจิตใจอีกต่อไป ความสุขใจสบายกายก็จะอยู่แค่ปลายจมูก จงเรียนรู้ให้สุดๆ และดูแลตัวเองนะครับ

ไพโรจน์ สิงบัน
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

เมื่อปลงใจเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

วันก่อนมีเพื่อนคนหนึ่งส่งข้อความมาปรึกษาว่า ทำอย่างไรดี ชีวิตนี้ทำไมหาความเป็นธรรมไม่ได้เลย สังคมมีแต่ความเห็นแก่ตัว คนทำงานขยันขันแข็งไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ มีแต่ระบบพวกพ้อง เป็นเด็กของคนนั้นของคนนี้ คนไม่ทำงานกลับได้ดี ยิ่งในระบบราชการยิ่งมีมาก ถ้าเช่นนี้จะดำรงตนอย่างไรดีในสังคมอย่างนี้

พอฟังปัญหาผมก็แทบจะตอบว่า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็จะเป็นไปอย่างนั้น ตามเหตุตามปัจจัยของมัน ทุกข์กับมันแล้วได้ประโยชน์อะไร อย่างนี้หลายคนคงยากเข้าใจ เพราะเรื่องนี้มันเป็นจริงสัมผัสอยู่จริงในสังคมที่กำลังดำเนินไป สำหรับข้าราชการคนทำงานอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนกลับไม่มีที่ยืนในสังคมข้าราชการด้วยกัน ยิ่งหัวหน้าไม่เห็นด้วย ก็จะถูกกลั่นแกล้ง เพราะจะทำให้เป็นข้อเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้คนอื่นต้องทำงานหนักขึ้น ยิ่งทำไปมากขึ้นก็ยิ่งเหนื่อยแถมถูกกดดันจากเพื่อนร่วมงานด้วย เงินก็ไม่ได้ ความชอบก็ไม่มี ขั้นก็ไม่เคยเลื่อน เพราะไม่มีเวลาทำตำแหน่ง คนที่ไม่ทำอะไรมัวแต่ปั่นแต่งผลงานตัวเองกลับได้ดี เห็นๆ กันอย่างนี้จะให้ยอมรับกันได้อย่างไร

อันนี้ไม่ใช่แต่ระบบราชการ ระบบไหนๆ ที่นิ่งแล้วตายแล้วก็เป็นเช่นนี้ บริษัทเอกชน องค์กรสาธารณะประโยชน์ใด ที่ระบบตายนิ่งก็เป็นอย่างนี้ คือ ระบบไม่ดูแลคนทำงาน เป็นระบบที่ต้องการรายงานแต่ไม่ดูผลงาน คนก็มัวแต่ทำรายงานจนไม่ทำงาน ระบบอย่างนี้ก็ส่งเสริมการเห็นแก่ตัวทั้งระบบ สุดท้ายมันก็ตายไปเอง เป็นอนิจจังเช่นนี้

ถามว่าแล้วจะทำอย่างไร โดยทั่วไปคนที่ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรเดิมได้ จะไม่มีความอึดอัด ไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับการทำงาน และจะไหลไปตามระบบขององค์กรนั้นๆ จะขึ้นสู่จุดที่สูงได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเกื้อหนุนและความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งมีให้ได้ไม่มากคนนัก ก็เหมือนกับรูปพีระมิดที่มีพื้นที่ให้คนยืนได้ไม่กี่คน แน่นอนต้องมีการแข่งขันสูงอย่างเอาเป็นเอาตาย ถามว่าอยากเป็นไปอย่างนั้นไหม แล้วจะไปแค่ไหน เพื่ออะไร เพื่อเกียรติยศชื่อเสียงเงินทองหรือไม่ แล้วมีแค่วิธีนี้หรือที่จะได้มาซึ่งเรื่องเหล่านี้ ?

บางคนอ้างว่าก็ถนัดเรื่องง่ายๆ แบบนี้ เป็นลูกน้องเขา เป็นข้าราชการลูกน้องประชาชน(ไม่เคยจริง) ทำตามสิ่งที่คนอื่นกำหนดให้มันง่ายดี ไม่ต้องคิดมาก สิ้นเดือนก็มีเงินเดือน ถ้าเราคิดอย่างนี้ คนอื่นก็ต้องคิดอย่างนี้ด้วย เมื่อมีคนคิดอย่างนี้มาก ทรัพยากรที่จะมาดูแลคนเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นก็ต้องแข่งขันแย่งชิงกัน จึงเป็นธรรมดาที่มีความอึดอัดคับข้อง ช่วงชิงกันสูง ยิ่งในระบบเอกชนที่ต้องเอาตัวเองให้รอดยิ่งมีการแข่งขันกันสูง แต่ระบบราชการเป็นระบบที่ปลอดภัยและมั่นคงสุดๆ ซึ่งถ้าปล่อยให้ไหลไปตามเหตุปัจจัยพาไปเช่นนี้ ก็จะเป็นไปอย่างคนที่เราตั้งข้อสังเกตในตอนแรกอย่างไม่รู้ตัว

สำหรับคนที่มีความเข้มเข็งมั่นคงทั้งจิตใจและร่างกาย สามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบนี้ได้ คงไม่ใช่คำพูดที่เกินไป เพราะเรื่องนี้มีให้เรียนรู้กันมากจากมหาบุรุษหลายคนในประวัติศาสตร์ ขึ้นอยู่เราจะเลือกแบบไหน จะปักใจมั่นวางตนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้แค่ไหน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนในเรื่องใหญ่โต แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องการทำงาน เรื่องชีวิตสารพัดเรื่อง นั้นหมายความว่าการที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นนั้น เราต้องมีความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าพูดให้ง่ายคือ มี vision ที่ถูกต้อง และมี mission เป็นเหมือนตัวกำกับเป้าหมายให้เกิดการกระทำจริง ไม่ใช่คิดแล้วไม่ทำ ต่อมาต้องมี operation เป็นกระบวนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีสติคอยระลึกรู้ทุกขณะการกระทำ มีสมาธิอดทนจดจ่อกับการงาน นี่คือเรื่องของอริยมรรคมีองค์แปดที่พุทธศาสนาสอนไว้ โดยไม่ต้องไปเรียน MBA ที่ไหนให้เสียเงินเป็นแสนๆ แต่ทั้งหมดจะได้ผลแค่ไหนก็ยังมีอีกหลายเหตุปัจจัย ขนาดในห้องทดลองที่ควบคุมเหตุปัจจัยทุกอย่างแล้วยังเกิดข้อผิดพลาดได้ เพราะยังมีเหตุปัจจัยที่เราคาดคิดไม่ถึงอีกมาก แต่สำหรับคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต หรือมีความรอบรู้ จะเข้าใจเหตุปัจจัยต่างๆ ได้มาก และสามารถควบคุมปัจจัยแห่งความสำเร็จได้ดี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เรื่องเดียวกัน ทำไมคนหนึ่งทำสำเร็จได้ผล ทำไมอีกคนถึงไม่ได้ผล และที่สำคัญผลของแต่ละคนที่ได้รับก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็เป็นสุขกับความไม่สำเร็จ เพราะได้เข้าใจข้อผิดพลาดและเงื่อนไขชีวิตของตนเอง บางคนทำสำเร็จแต่ล้มเหลวในชีวิตของตนเองเพราะไหลไปกับความไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักตนเอง ทำงานจนถึงอายุสี่สิบห้าสิบแล้วถึงรู้ว่าตัวเองไม่ชอบ จะถอยหลังก็ไม่ได้ จะเดินหน้าก็เป็นทุกข์ เช่นนั้นความสำเร็จจึงไม่ใช่เครื่องพิสูจน์หนทางพ้นทุกข์ข้อบีบคั้นของชีวิตเสมอไป

กลับมาที่เหตุปัจจัยของการทำงานในระบบที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อันนี้เราจะโทษระบบอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าทุกคนโทษระบบโทษคนอื่นก็ไม่มีใครทำอะไร นั่นหมายความว่าระบบนี้ก็รอวันสลายไปเท่านั้น แต่ถ้ามีใครลุกขึ้นมาทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ แค่คนตัวเล็กๆ อย่างนิทานยายกะตาปลูกถั่วปลูกงาที่ท่องกันสมัยเด็กว่า ยายกะตาปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า หลานไม่เฝ้าปล่อยให้นกกามากิน หลานกลัวยายมายายตี ตามาตาตี หลานจึงไปบอกนายพรานให้ไปยิงนก นายพรานบอกว่าไม่ใช่ธุระของข้า หลานจึงไปบอกให้หนูไปกัดสายธนูนายพราน หนูบอกไม่ใช่ธุระของข้า หลานจึงไปบอกแมวไปกัดหนู...บอกหมาไปกัดแมว...บอกไม้ค้อนไปยอนหัวหมา...บอกไฟไปเผาไม้ค้อน...บอกน้ำไปดับไฟ...บอกตลิ่งไปถมน้ำ...บอกช้างไปพังตลิ่ง...บอกแมลงหวี่ไปตอมตาช้าง เรื่องนี้แมลงหวี่บอกธุระไม่ใช่ก็จะทำให้เรื่องขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยตามเหตุปัจจัยไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าในทางกลับกัน แมลงหวี่อาสาไปตอมตาช้าง ช้างกลัวจึงไปพังตลิ่ง...ไปจนถึงนายพรานยอมไปไล่นกกาให้ สุดท้ายเรื่องก็จบ เพราะทุกคนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ ยิ่งเรื่องนี้บอกถึงคนเล็กคนน้อยที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในสังคมนี้ที่ใหญ่โตซับซ้อนได้ ไม่ใช่ทำตัวเหมือนหลานในนิทาน

ทั้งนี้สำหรับคนที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องในสังคมที่บิดเบี้ยวนี้ แน่นอนต้องพบกับแรงกดดันแรงปะทะทั้งต่อตนเองและคนอื่น ไม่ว่าความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ผลที่ตามมา ว่าทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี ในเมื่อเพื่อนร่วมงานและคนอื่นไม่ได้เห็นอย่างที่เราเห็นจึงไม่แปลกที่ค่าของผลงานเราจึงไม่มีค่าในสายตาของคนอื่น ดังนั้นถ้าเราเห็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อการเปลี่ยนแแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น เพื่อสร้างสังคมในการทำงานแบบใหม่ ต้องมีความอดทนทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพิ่มปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ใครจะมองเห็นค่าหรือไม่เห็นไม่สำคัญเท่ากับเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะผลของความถูกต้องจะพิสูจน์ตัวมันเองในอนาคต ถึงวันนี้เหตุปัจจัยจะไม่เพียงพอในการเปลี่ยนแปลง เพราะเราพึ่งมาใส่ปัจจัยที่ถูกต้องไปไม่นาน ในขณะที่เขาซึมซับความบิดเบี้ยวนี้มาตลอดชีวิต จึงต้องเห็นใจเขา เข้าใจเขา ให้โอกาสเขาที่เขายังรับรู้ไม่ได้ แต่ท้ายสุดต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อเราประเมินแล้วว่าเกินกำลัง ในการทุ่มเทก็ต้องปล่อยวางไปตามเวรตามกรรม เมื่อใครทำกรรม(การกระทำ) ใดไว้ก็จะได้ผลกรรม(การกระทำ)ตามสิ่งนั้น

“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

ไพโรจน์ สิงบัน
วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อถึงคราวต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก

เมื่อเดือนก่อน ผมได้เขียนบทความเชิงแชร์ประสบการณ์เล่าบทเรียนที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องแม่ โดยความตั้งใจในส่วนลึกก็เพื่อส่งดวงวิญญาณของแม่ให้ไปสู่สุคติ และให้กำลังใจกับเพื่อนพี่น้องที่แม่ได้จากไปหรือกำลังจากไป และตั้งใจจะเล่าต่อเรื่องความยุ่งยากทรมานในขั้นตอนการรักษายื้อชีวิตในหัวข้อ "โอกาสของคนรากหญ้าในระบบการแพทย์ที่แสนยิ่งใหญ่" ที่จริงไม่ได้จะกระทบวงการแพทย์ไทย ที่เป็นนักบุญช่วยชีวิตผู้เจ็บป่วยอย่างไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย เพราะผมก็รู้อยู่เต็มอกว่า ที่อยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะบุญคุณของหมอ เมื่อคราวที่ประสบอุบัติเหตุ แต่ที่อยากจะแชร์คือเรื่องความไม่เข้าใจ การรู้ไม่หมด หรือการไม่รู้เรื่องอะไรเลยในขั้นตอนการรักษาทำให้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง จนแทบเป็นบ้าได้ หรือเกิดปัญหาใหม่ตามมา อันนี้ผมเห็นเป็นปัญหาจริงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องนี้ขอทิ้งประเด็นไว้แค่นี้ก่อนค่อยมาต่อกันในคราวหลัง

ส่วนที่อยากจะนำเสนอคราวนี้ คือเรื่องการเตรียมตัวเตรียมใจเมื่อถึงคราวต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ ถ้าใครยังไม่เคยสัมผัสก็คงยากรู้ได้ แต่เรื่องนี้คงไม่มีใครหนีพ้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องประสบเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงขอให้มีสติพอ มีกัลยาณมิตรให้กำลังใจและชี้แนะก็จะผ่านไปได้ด้วยปกติ และเมื่อกลางเดือนก่อน หลังจากที่ผมได้มีโอกาสนึกทบทวนกับตัวเองในเรื่องนี้อยู่พอดี เพื่อนธรรมภาคีที่ช่วยงานออกแบบปกหนังสือของสวนโมกข์กรุงเทพก็ได้ส่งอีเมลมาปรึกษาในเรื่องนี้ ผมเห็นว่าเรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์กับหลายท่านที่ประสบกับเรื่องนี้อยู่ จึงขออนุญาติลงบทสนทนาดังกล่าว แต่จะสงวนบางส่วนไว้ไม่ให้กระทบกับบุคคลอื่น และขออนุโมทนากับบทเรียนของทุกท่าน ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การศึกษาเรียนรู้เข้าถึงความจริงของชีวิตด้วยกันทุกคน

เรียนคุณไพโรจน์

เนื่องจากมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งกำลังเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะคุณแม่ของเขากำลังป่วยหนักอาการทรุดมาก รอเวลาที่จะสิ้นลม ดิฉันอยากให้เขาได้ฟังหรืออ่านธรรมะเพื่อปรับสภาพจิตใจที่กำลังย่ำแย่ให้สงบทั้งตัวเขาเองและตัวคุณแม่ของเขาก่อนที่จะสิ้นลม (หากท่านยังพอได้ยิน)

ดิฉันค้นดูใน internet พบบทความของพระไพศาล วิสาโล ตามลิงก์ด้านล่างนี้ http://www.visalo.org/article/D_dhammakangTieng.htm
จึงขอรบกวนปรึกษาคุณไพโรจน์ว่าเหมาะสมสำหรับสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่ อย่างไร หรือหากคุณไพโรจน์มีบทความหรือหนังสือธรรมะอื่นที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้
สำหรับคุณแม่ให้เตรียมตัว และสำหรับรุ่นน้องให้ทำใจ รบกวนโปรดแบ่งปันให้ดิฉันนำไปมอบให้กับน้องคนนี้ด้วยจะเป็นพระคุณยิ่งค่ะ


ตอบ
น่าจะเหมาะสมครับ เพราะท่านพระอาจารย์ไพศาล ท่านทำเรื่องการเตรียมตัวตายอย่างมีสติ เขียนหนังสือออกมาชื่อ ก่อนอาทิตย์อัสดง เรื่องนี้ก็ดีครับ ที่สวนโมกข์กรุงเทพมีครับ ถ้าต้องการจะจัดส่งให้ ส่วนเรื่องอื่น มีธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ของอาจารย์พุทธทาส ฯลฯ

ฝากถึงเพื่อนพี่น้องที่กำลังทุกข์ครับ

ในความเห็นของผม เรื่องนี้ถือเป็นโอกาสอย่างดีที่จะได้ฝึกปฏิบัติธรรม และคงไม่มีโอกาสใดดีกว่านี้แล้ว ผมก็เคยผ่านเรื่องนี้มาเมื่อสองปีก่อน แม่ได้จากไปอย่างสงบ ตอนแรกก็พบปัญหาเหมือนกับทุกคน ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความกังวลสารพัดอย่าง ส่วนแม่ก็ต้องทรมานทั้งทางกายและใจ ไม่ยอมปล่อยวาง เพราะห่วงคนข้างหลัง ผมต้องหาสารพัดวิธีในการช่วยให้คลายทุกข์ อ่านหนังสือธรรมะให้ฟังท่านก็ไม่ค่อยฟัง สุดท้ายคนที่ทุกข์หนักคือคนรอบข้าง เต็มไปด้วยอาการโศกเศร้ากังวลให้ท่านเห็น ท่านก็ยิ่งห่วงและไม่ปล่อยวางไปใหญ่.

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ แทนที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ใจให้กับแม่ ผมกลับมาทำกับตนเองและญาติพี่น้อง ลองตั้งสติใหม่ ทบทวนตัวเองว่าเราเป็นทุกข์เพราะอะไร กลัวแม่จากไปใช่ไหม พอนึกก็ตอบตัวเองได้ว่าใช่ แต่พอคิดทบทวนก็เริ่มทำใจได้ เข้าใจว่าไม่มีใครฝืนความตายได้ คิดไปคิดมาก็พบว่า ทั้งหมดเกิดจากความไม่พร้อมทางใจของเราเอง เกิดความกังวลที่ไม่ได้ดูแลแม่ให้ดีที่สุด จากความไม่รู้ว่าถึงเวลาที่แม่จะจากไปจริงๆ หรือไม่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทรมานสุดๆ เป็นการต่อสู้ภายในตัวเองอย่างถึงที่สุด ใจหนึ่งก็คิดว่าแม่ยังอยู่กับเราได้ อีกใจหนึ่งก็บอกว่า แม่เหนื่อยมามากแล้วให้หลับให้สบายเถิดไม่ต้องกังวลเป็นห่วงอะไร แต่ผมก็โชคดีที่มีกัลยาณมิตรที่เป็นหมออยู่หลายท่าน ซึ่งโดยทั่วไปญาติคนไข้จะมีโอกาสรู้สภาพที่แท้จริงของคนไข้น้อยมาก เพราะหมอคิดว่าญาติคนไข้ไม่ค่อยรู้เรื่องภาษาหมอ และหลายครั้งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ญาติพี่น้องของผมหลายคนก็กังวลและเป็นทุกข์เพราะไม่รู้เรื่องชัดเจนในอาการและคิดไปสารพัดอย่าง กล่าวหาว่าหมอไปสารพัดเรื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็เลยแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ให้เฉพาะผมเป็นคนประสานพูดคุยกับหมออย่างตรงไปตรงมา แล้วมาอธิบายให้ญาติพี่น้องคนอื่นๆ เข้าใจอาการอย่างแท้จริง และเมื่อหมอจะทำการสิ่งใดที่มีผลต่อชีวิตและร่างกายก็ขอให้แม่และพวกเราได้มีส่วนร่วมตัดสินใจ จึงทำให้ทุกข์เรื่องนี้ก็เลยคลายไปอีกขั้นหนึ่ง.

กรณีต้องตัดสินใจในช่วงวิกฤติยื้อชีวิตของแม่
เมื่อแม่ดีขึ้นและกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เกิดเดินสดุดเป็นแผลถลอกนิดเดียว แต่ด้วยความชล่าใจในการดูแล เรื่องโรคเบาหวานระยะสุดท้าย ทำให้เป็นปัญหาใหญ่ ถึงจะพาไปพบหมอและทำแผลล้างแผลกันอยู่ทุกวัน ได้มีการขูดล้างแผลให้แผลสดไม่เน่าเปื่อยจากการตายของปลายประสาทที่ไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง ทำให้ต้องขูดไปเรื่อยๆ จนนิ้วเท้าหายไป ตอนแรกแม่ยังแข็งแรงพอเดินได้ แต่เมื่อแม่รู้สึกตัวว่านิ้วเท้าหลุดไปก็ทุกข์มาก อาการทรุดลงทันที ไม่สามารถยอมรับสภาพที่ตัวเองจะจากไปโดยไม่ครบสามสิบสองได้ จึงไม่ยอมให้หมอทำการรักษาอะไรทั้งสิ้น ไม่ยอมตัดเท้า ไม่ยอมรับอาหารทางสายยาง ทำให้หมอ พยาบาล และพวกเราปั่นป่วนวุ่นวายกันไปหมด
แต่เมื่อตั้งสติได้ ผมก็คิดใหม่ มองว่าชีวิตก็เป็นของแม่ เมื่อแม่ปราถนาอย่างนั้นแล้วเราจะไปดึงดันเพื่ออะไร จึงปรึกษากับญาติพี่น้องว่าจะทำตามใจแม่ คือเอาแม่กลับบ้าน แต่หมอที่รักษาเองก็ยังไม่ยอม บอกว่าต้องรักษาตามแบบเขาและมีสิทธิ์อยู่ได้อีก ๕ - ๑๐ ปี แต่ถ้ากลับไปอยู่สภาพอย่างนี้ หมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงเดือนแน่ คราวนี้ก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าตัดสินใจผิดก็เหมือนกับพวกเราฆ่าแม่ทางอ้อม ต้องคิดกันอย่างหนัก พวกเราก็คุยกันหลายรอบ ถามความต้องการแม่ แม่ก็ยืนยันกลับบ้าน แต่แม่ก็กลัวตาย และกลัวที่สุดคือกลัวร่างกายไม่ครบสามสิบสอง แต่ผมก็คิดว่าอีกอย่างที่แม่กังวลคือเรื่องค่ารักษาที่นับวันยิ่งหมดไปมาก
ผมก็ปรึกษากับหมอหลายคน โดยเฉพาะคุณหมอบัญชาที่ช่วยชี้แนะและประสานช่วยเหลือให้ปรึกษากับหมอผู้รักษาอย่างตรงไปตรงมา และนำมาบอกเล่าอาการให้แม่ฟัง เมื่อแม่รู้อาการที่แท้จริงของตัวเอง แม่ก็บอกเลยว่าขอกลับบ้าน ตายก็ขอให้ตายที่บ้าน พวกเราส่วนหนึ่งคัดค้านส่วนหนึ่งเห็นด้วย แต่เมื่อคุยกันมากขึ้น อ้างเหตุผลเพื่อให้แม่มีความสงบใจก็เลยตกลงกันได้ว่าให้กลับบ้าน.

เมื่อถึงบ้านก็แบ่งหน้าที่กันเฝ้าดูแล
ต่างคนก็รู้อยู่ว่าแม่จะต้องจากไป จึงขอให้ทุกคนทำใจ จะทำใจได้หรือไม่ได้ แต่อย่างน้อยในช่วงที่ดูแลนี้ห้ามแสดงการการโศกเศร้าให้แม่เห็น นี้เป็นข้อตกลงร่วมกัน และต้องทำใจให้เข้มแข็ง เบิกบานก่อนที่จะเข้าไปพบแม่
อาการของแม่ทานอะไรไม่ได้เนื่องจากลำใส้ไม่ทำงาน ทานได้แต่น้ำกับอาหารสกัดวันละ ๑ ช้อน ส่วนน้ำเกลือก็เข้าไม่ได้ เพราะบวมน้ำตัวเขียวไปหมด เกิดจากไตไม่ทำงาน ตอนที่อยู่โรงพยาบาลจะทรมานมาก คนเฝ้าไม่ได้หลับไม่ได้นอนเหมือนจะตายก่อนคนไข้เอา แต่เมื่อมาอยู่ที่บ้าน ผมก็ไม่ทราบด้วยเหตุใด แม่ลดความทรมานไปอย่างมาก และระบบดูแลเป็นไปแบบดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะมีปัญญาทำกันได้ในสภาพของบ้านนอก ญาติพี่น้องเมื่อว่างจากงานแล้วมานอนเฝ้ากันเต็มบ้านเสียงคุยกันสนุกสนานพูดหยอกล้อกันจนแม่หัวเราะได้ แม่เหมือนอาการดีขึ้นๆ สภาพจิตใจเข้มแข็งและพร้อมจากไปได้ทุกเมื่อ พวกเราก็ลืมความกังวลไปเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจว่ามีพลังอย่างมากนอกจากกำลังใจ ก็คือพิธีกรรมต่างๆ ที่ได้ทำร่วมกัน ทำให้เป็นนำ้หนึ่งใจเดียวกัน พลังนี้ยิ่งใหญ่มาก ตอนเย็นเรามาร่วมสวดมนต์ให้แม่กัน ทำพิธีรับขวัญสู่ขวัญ ญาติพี่น้องก็มากันมาก จากหมอที่บอกว่าจะอยู่ได้ ๑๕ วัน อย่างมากก็ไม่เกินเดือน แต่เมื่อตัดสินใจทำเช่นนี้แม่อยู่ได้ถึง ๓ เดือน และก่อนที่แม่จะจากไปก็ทำให้ทุกคนได้ทำหน้าที่ถึงที่สุด ให้ทุกคนมาขอขมาลาโทษ สั่งเสียจนถ้วนหน้า ใครมีโอกาสทำอะไรให้ได้ก็ทำกันเลย เช่น บางคนก็ร้องเพลงให้ฟัง บางคนก็สวดมนต์ให้ฟัง บางคนก็เล่านิทานให้ฟัง บางคนมาพัดวีเช็ดตัว บีบนวด สุดท้ายทุกคนได้ทำหน้าที่ของตน จะมากจะน้อยก็ได้ทำหน้าที่.
สำหรับผมเองอยู่ไกล ต้องเทียวไปเทียวมา และไม่ยอมขอขมาลาโทษ สั่งเสีย เสียที ขอเป็นคนสุดท้าย เมื่อคิดว่าเหมาะสมผมก็บอกลา ผมคิดว่าแม่ก็คงรออยู่ เพราะเคยถามตลอดว่ากลัวตายไหม ตอนแรกบอกว่ากลัวมาก เมื่อกลับมาอยู่ในการดูแลของลูกหลานญาติพี่น้อง ก็บอกว่าหมดห่วงแล้ว พร้อมแล้ว สุดท้ายก็บอกว่าไม่กลัวแล้ว.
เช้าวันนั้นก่อนที่แม่จะจากไป ในส่วนลึกของจิตใจผมบอกให้ขอขมาลาโทษ ผมจึงไปหยิบขันดอกไม้ธูปเทียนขึ้นมาทำพิธี ปากก็พูดไป แต่ใจก็หวิวๆ เมื่อพูดจบก็บอกแม่ให้รอ บอกว่าจะลงไปประชุมที่กรุงเทพเสร็จแล้วจะกลับ แม่ก็ยังรับปากแบบหน้าตาก็สดชื่น แต่พอตอนเย็นผมก็ได้รับโทรศัพท์ว่าแม่ได้จากไปอย่างสงบ จากการดื่มนมหลับไปเอง เหมือนนอนหลับ พวกเราก็ใจหาย แต่ก็ไม่มีใครร้องไห้ ผมเองก็ซึมแต่ก็พูดกันแล้วว่าจะส่งแม่แบบไม่ให้ดวงวิญญาณของแม่ต้องห่วงกังวลอะไร พอนั่งรถกลับก็คิดแต่เรื่องการจัดการงานศพแบบไหนให้เป็นกุศลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายก็ถือศีลและบวชให้ ก็ทำใจได้และจิตก็เป็นปกติมากขึ้นๆ เรื่องนี้ทุกคนก็ต้องผ่าน แต่จะผ่านอย่างไรก็ต้องหาทางของตนเอง ที่ผมเขียนเล่านี้ก็หวังว่าจะเป็นบทเรียนสำหรับคนที่กำลังต่อสู้กับตนเองในเวลานี้กันอยู่
พระอาจารย์หลายคนท่านก็พูดตรงกัน ที่พากเพียรเรียนปฏิบัติกันมาก็เพื่อมาต่อสู้กันในเวลานี้แหละ ไม่ว่าความตายของคนที่เรารัก หรือของเราก็ต้องให้มีสติ สงบ รำงับถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไพโรจน์ สิงบัน
วันแม่ ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

WHO AM I ? เราเป็นใคร ? แล้วเรามาที่นี่ทำไม ? กำลังจะไปที่ไหน ?



WHO AM I ? เราเป็นใคร ?
แล้วเรามาที่นี่ทำไม ? กำลังจะไปที่ไหน ?


เชื่อว่านี้เป็นเสียงร่ำร้องจากหัวใจของใครหลายคน อย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ที่เหมือนจะรู้ตัวแต่ก็ไม่รู้จักตัวเอง รู้แค่สมมติ จนทำให้บางทีสับสนไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ในตัวเรา หลายคนคงมีช่วงเวลาที่สงสัยอยู่เหมือนกันว่าชีวิตนี้ใครกำหนด เรา พ่อแม่ ครอบครัว สังคม การงาน หรือเงื่อนไขชีวิต ?????

แล้วตัวเราที่แท้จริงมีไหม พุทธศาสนาสอนให้ดับทุกข์ ด้วยการลดตัวตน ไม่ยึดติดตัวตน แต่ก็คงยากที่จะมีใครปฏิเสธความคิดเรื่องการสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จัก หรือสร้างอัตลักษณ์ แต่สุดท้ายก็เอามาใช้เพื่อชื่อเสียงเงินทอง แล้วอย่างไหนมันถูก

ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกหลายคนบอกว่าเป็นคนที่ไม่มีตัวตน ซึ่งความหมายไม่รู้ว่าเป็นแบบไร้ตัวตนในสังคมนี้ หรือเป็นแบบไม่ยึดติดตัวตน แต่ก็คงปนๆ กันอยู่ บางทีก็ไร้ตัวตน บางทีก็ไม่ยึดติดหรืออาจจะไม่มีอะไรให้ยึดติดก็เป็นได้ ลองมีเงินหมื่นล้านคงไม่ทำตัวแบบนี้ก็ได้

ความจริง ชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกัน เงื่อนไขไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ สัญชาตญาณเอาตัวรอดออกจากการบีบคั้นของชีวิต ทั้งทางกายและจิตใจ บางคนถูกบีบคั้นด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจการเงิน บางคนบีบคั้นด้วยปัจจัยครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่เงือนไขของแต่ละคน

สำหรับคำถามสำคัญเรื่องสัญชาตญาณการเอาตัวรอดนี้ มีข้อจำกัดไหม หรือจะอย่างไรก็ได้ ไม่สนวิธี ไม่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ธรรมะ กฎกติกาหรือกฎหมาย เพียงเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็พอ

เรื่องนี้มีใครเคยจำลองชีวิตของตัวเองหรือไม่ ถ้าตกอยู่ในสภาวะต่างๆ นี้ จะจัดการตัวเองอย่างไร
ส่วนผมเคยคิดเรื่องนี้ เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในนี้ผมว่าสำคัญกว่าการเปลี่ยนแปลงภายนอก หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงทางความคิดภายในตัวเรา จะทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพภายนอกได้

เมื่อเรามาลองทบทวนบทเรียนชีวิตของตนเองที่ผ่านมา จะพบว่ามีช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตที่สำคัญ ๆ อยู่ จนอาจเป็นปัจจัยกำหนดชีวิตของเราในอนาคตได้ ถ้าตัดสินใจผิดไม่เข้าใจด้านในของตัวเองที่เพียงพอ ก็จะทำให้เสียเวลาเรียนรู้นาน หรือหลงเดินทางผิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นทุกข์กับชีวิตไปตลอด เรื่องนี้เหมือนทุกคนจะยอมรับ แต่ก็น้อยคนที่จะเอาจริงเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน ส่วนมากจะมุ่งการเปลี่ยนภายนอกเป็นส่วนใหญ่ หรือเปลี่ยนแปลงคนอื่นมากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วมันเป็นไปได้จริงหรือไม่ ถึงแม้จะหาคำอธิบายบอกว่าเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา แต่สุดท้ายการตัดสินใจอยู่ที่เรา

เรื่องนี้ไม่ต้องมีใครตอบ ต่างรู้ด้วยตัวของตัวเองดีอยู่แล้ว แค่จะยอมรับจากจิตสำนึกของตัวเองหรือไม่แค่นั้น ผมได้ยินคำสะกิดใจอย่างมากจากอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้ที่ออกเดินทางค้นหาความจริงของชีวิต อาจารย์บอกว่า “ผมจบ Ph.D. ทางด้านศาสนาและปรัชญามาจากอินเดีย มาสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เหมือนไม่รู้อะไรในชีวิตตนเองเลย ที่ผ่านมาอธิบายทฤษฎีชีวิตจากความคิดให้ลูกศิษย์ฟังเป็นฉากๆ แต่ไม่ได้สัมผัสจากความรู้สึก จึงต้องออกเดินให้รู้สึกเห็นความทุกข์ความสุขจากข้างในตัวเองจริงๆ”

ส่วนตัวผมเองก็เหมือนกับได้สัมผัสชีวิตที่เป็นจริงอยู่หลายกรณี จนส่งผลต่อแนวทางการดำเนินชีวิตอยู่มาก เช่นกรณีพบเห็นการเจ็บตายจากการไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในภาคใต้ของประเทศไทยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา เห็นถึงความบอบบางของชีวิตมนุษย์ และชีวิตนี้จะมีคุณค่าเมื่อมีความหมายเท่านั้น ถ้าปล่อยเลยไปแบบไม่คิดอะไร ไม่รีบค้นหาความหมายของชีวิต ไม่ให้คุณค่ากับชีวิตตัวเอง เมื่อถึงคราวมัจจุราชมาพรากชีวิตเราคืนก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้จะยิ่งใหญ่มีเงินทองล้นฟ้า เป็นเทวดาตาน้ำข้าวมาจากไหน ก็ตายกันเกลื่อนกลาดเหมือนมดแมง ทำให้เรื่องนี้ผมนึกถึงชีวิตตัวเองและบุคคลอันเป็นที่รักอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็ลืม ไม่รู้หลงไปทำอะไรอยู่ ลืมความรู้สึกนึกคิดในช่วงเวลานั้นไปหมดสิ้น จนมาถึงคราวที่แม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ความรู้สึกนี้จึงมาเตือนอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องความตายแน่นอนทุกคนก็รู้อยู่เต็มอก ว่าวันหนึ่งต้องมีการสูญเสียคนอันเป็นที่รักอย่างแน่นอน แต่ทุกคนก็หวังว่ายังไม่ถึงเวลาของเรา คงอีกนาน ๆ แล้วเคยมีการเตรียมใจเรื่องนี้หรือไม่ ผมก็เช่นกัน ตอนที่แม่แข็งแรงอยู่ไม่เคยคิดและไม่พยายามคิด แต่เมื่อปัจจัยหลายอย่างส่งสัญญาณเตือนให้ต้องเตรียมตัวเตรียมใจทั้งที่ไม่พร้อมแต่ก็ต้องยอมรับ

ผมเติบโตมาด้วยการโอบอุ้มเรียนรู้จากแม่เป็นส่วนใหญ่ แม่เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่จนยากลืมเลือน ทุกการกระทำของแม่อยู่ในความทรงจำของผมแทบทุกอย่าง เป็นแม่แบบให้เอามาปรับใช้ในชีวิตเมื่อโตขึ้น ถึงแม้พ่อจะพร่ำสอนขนาดไหนในแต่ละเรื่องก็ไม่เหลือในความทรงจำ หรือถ้าจะเหลือก็นึกนานมาก ซึ่งต่างกันอย่างมากกับแม่ ไม่ว่าเรื่องดีไม่ดีจำได้หมด ทั้งที่ก็สนิททั้งพ่อและแม่ อยู่ด้วยกันเท่าๆ กัน จนมาได้ยินคำของท่านอาจารย์พุทธทาสที่บอกว่า “แม่คือผู้สร้างโลก” นี่แหละจึงเริ่มเข้าใจความผูกพันของแม่ลูก เราจะเติบโตมาอย่างไรแม่มีส่วนสร้างเราอย่างมาก แต่หลายคนก็ลืมบทบาทนี้

ด้วยแม่เป็นคนที่ทำงานหนักเหมือนชาย ทำไร่นาสวน ไม่มืดค่ำไม่เข้าบ้าน เอาจริงเอาจังกับการทำงานมาก จนเป็นนิสัยที่ติดตัวผมมาตลอด เป็นคนที่มุมานะในการทำงาน ออกจากบ้านมาเรียนต่อและทำงานที่ภาคใต้จนแทบไม่มีเวลากลับบ้าน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงาน จนลืมคนข้างหลัง พ่อแม่พี่น้องก็คิดถึงและแสนห่วง แต่ก็คิดว่าคงมีโอกาสสักวันหนึ่งจะได้อยู่พร้อมหน้าทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันเหมือนสมัยเด็ก หวังไว้ปีแล้วปีเล่าไม่เคยทำสักที ผ่านไปห้าปีก็แล้ว สิบปีก็แล้ว จนวันหนึ่งอยากทำขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสแล้ว

สมัยที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยที่เราคุ้นเคยกันแบบคนชาวบ้านอีสาน วิถีการแสดงออกเรื่องความรักต่อกันถือเป็นเรื่องขัดเขิน ทั้งที่ก็เข้าใจความต้องการความรักความอบอุ่นต่อกัน แต่ก็ไม่มีใครแสดงออกมา ผมก็เช่นกัน คิดแต่ว่ากลัวแม่เป็นห่วงไม่พยายามโทรหา ไม่คุยด้วยโดยตรงเพราะกลัวว่าเมื่อแม่ได้ยินเสียงแล้วจะพานให้ร้องไห้ไปด้วย เพียงแต่ฝากถามข่าวจากพี่น้องเฉยๆ จนแทบนับการพูดคุยด้วยกันตลอดสิบปีได้ไม่ถึง ๕๐ ครั้ง แต่ที่ผมภูมิใจคือผมกอดแม่กอดน้าอาทุกครั้งที่เจอหน้าไม่ว่าจะอยู่กลางฝูงชนขนาดไหนไม่สนใจ อันนี้ผมทำเมื่อตอนโตแล้ว จากที่ได้ยินน้ากับแม่คุยกันเมื่อสิบกว่าปีก่อนว่าชอบที่ลูกหลานมากอดแสดงความรัก ผมก็เลยทำเลย จนใครเห็นก็คิดว่าเป็นลูกแหง่ แต่สิ่งนี้แหละที่ทดแทนความค้างคาใจหลายเรื่องที่ไม่ได้ทำ

ผมถามตัวเองว่า ที่เราดิ้นรนทำงานหาเงินหาทองนี้ไปเพื่ออะไร หามาเป็นสิบยี่สิบปีไม่ได้อะไร แถมเสียชีวิตส่วนหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัว บางคนทำไปทำมาเกิดเป็นวงจรอุบาทว์ คือ จากตอนแรกทำงานเพื่อหาเงิน มาเป็นทำงานเพื่อหากินหาใช้ มาเป็นทำงานเพื่อใช้หนี้ สุดท้ายก็เลยหลุดไปไม่ได้ อยากกลับบ้านนอกแทบตายแต่กลับไม่ได้ มีหนี้สินติดตัว ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีทุนพอจะกลับไปเริ่มต้นใหม่ สุดท้ายชีวิตครอบครัวญาติพี่น้องก็ถูกทิ้งไปโดยปริยาย เหลือแต่ชีวิตแบบตัวใครตัวมันที่ถูกทิ้งกลางกรุงอันแห้งแล้งความรักความอาทร จนบางคนต้องซื้อหาความรักข้ามคืนซึ่งไม่มีจริง

ความโหดร้ายของสังคมแห่งการเอาตัวรอดมันเป็นอย่างนี้ หาความรักความอาทรอย่างแท้จริงยาก จะแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์โลกก็ต้องแอบทำ กลัวถูกหาว่าเป็นคนโง่ ถูกคนเขาหลอก การหลอกลวงมีมากจนเป็นเรื่องปกติ และทุกคนที่เข้ามาในเมืองใหญ่ก็มาเพื่อแสวงโชคตักตวงโอกาสและผลประโยชน์ เพื่อจะกลับไปเสพสุขในสังคมที่สงบสุขแบบเดิม แต่เมื่อมาแล้วก็ถูกเมืองใหญ่กลืนกินจนเป็นส่วนหนึ่งของเมืองใหญ่ไป ไม่สามารถถอนตัวออกได้ จึงต้องคอยหาผลประโยชน์ต่อกันและกันอย่างไม่มีสิ้นสุด แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกทรัพยากรที่เลี้ยงเมืองกรุงมาจากไหน คงหนีไม่พ้นบ้านนอก การที่คิดจะมาขุดทองจากเหมืองกรุงไปเลี้ยงบ้านนอกคงไม่เป็นจริง เป็นเพียงแค่มาเสพชีวิตแห่งความสะดวกสบายในช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่จะกลับไปสู่ธรรมชาติที่ชีวิตโหยหาโดยแท้จริง

กรณีแม่ผมก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ความอบอุ่นของสังคมบ้านนอกอย่างลึกซึ้ง เมื่อแม่อายุย่างเข้า ๖๕ สังขารก็เริ่มเสื่อมอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะการใช้งานมาหนัก โรคประจำตัวรุ่มเร้า เข้าโรงหมอบ่อย เงินทองหามาได้ก็หมดไปกับการรักษาตัวเอง ตอนแรกด้วยความห่วงสารพัด แม่ต้องกัดฟันสู้ทนฝืนสังขารไม่ยอมปล่อยวางกลัวการจากไปอย่างที่สุด ลูกหลานพี่น้องก็ต้องเฝ้าเอาใจ ทั้งปลอบและบ่น ทุกข์ไปตามๆ กัน เรื่องอย่างนี้ถ้าจัดการกันไม่ดีคนอยู่ข้างหลังแทบจะประคองชีวิตกันเอาไม่อยู่ ไหนเรื่องค่าใช้จ่าย เชื่อว่าใครมีเท่าไหร่คงทุ่มกันหมดตัวแน่ หรือยืมกันเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว

จากประสบการณ์เรื่องนี้ผมถือว่าโชคดีที่มีกัลยาณมิตรทั้งญาติพี่น้องเพื่อน ๆ ครูบาอาจารย์ คอยให้คำชี้แนะช่วยเหลือ ที่สำคัญกำลังใจจากคนบ้านเดียวกันสังคมเดียวกันไปเยี่ยมไปให้กำลังใจ หยิบยื่นค่ารักษาให้คนละเล็กละน้อยเป็นน้ำเลี้ยงอย่างดี เท่าที่ผมสังเกตคนในหมู่บ้านผม ทั้งหมู่บ้านห้าร้อยกว่าครัวเรือน เห็นหน้ากันเกือบทุกคนไม่มาเยี่ยมที่โรงพยาบาลก็ไปเยี่ยมกันที่บ้าน สิ่งนี้แหละที่ทำให้แม่มีกำลังใจปล่อยวางกับชีวิต ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนตอนช่วงแรกที่เข้าโรงพยาบาล

ไพโรจน์ สิงบัน
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔

โอกาสของคนรากหญ้า
กับแนวทางการรักษาในวงการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่

(เรื่องต่อ)

for ever

for ever